แบกเป้ตามใจฉัน สไตล์ดอกไม้ทะเลทราย
ตอนที่ 2 จากย่างกุ้ง สู่มันฑะเลย์
ก้อไม่รู้สินะ หลังจากรถแวะ กลางทาง 2 รอบ ให้เข้าห้องน้ำแปรงฟัน ทานอาหารกัน
ที่แวะเขาก้อเริ่่ดมากกกกกกกกกกก ใหญ่โต อลังการงานสร้าง ทั้งร้านอาหาร ผับ อิอิ มีหมด
แวะสักพักรถก้อออกเดินทางต่อ และในที่สุดก้อถึงมันดะเล ในตอน ตี ห้า แต่คงไม่ทันไปดูล้างหน้าพระมัยมุนีแล้ว เพราะพิธีล้างหน้าจะเริ่มขึ้นในตอนตี 4 ลงรถแล้ว
เราก้อเรียกมอไซด์รับจ้างไปที่วัดเลย ในราคา 2000 จ้าดด
ในที่สุดก้อมาถึงจนได้ หุหุหุหุ มันดะเล ที่รัก สายลมแห่งโชคชะตา พัดพาเรามาจนถึงที่นี่เพียงลำพัง ถึงหน้าวัด แล้วเราก้อถอดรองเท้าเก็บใสกระเป๋าเป้ เดินเข้าวัด ส่งสายตาเหี้ยมๆ
ทักทายพวกพ่อค้าแม่ค้าซะหน่อย อิอิอิ ไม่มีใครมายุ่งกะเราเลย
เสียงสวดมนต์ระงมไปทั่วบริเวณ ทำให้เราต้องสำรวมขึ้นอีกหน่อย
พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า
• ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้าจันทสุริยะ กษัตริย์ของชาวยะไข่แห่งเมืองธัญญวดี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐยะไข่ ทางด้านตะวันตกของพม่าติดกับบังคลาเทศ) โปรดฯให้สร้างพระมหามัยมุนี ซึ่งแปลว่า “มหาปราชญ์” ขึ้นในปี พ.ศ.689 หรือเกือบสองพันปีมาแล้ว เหตุเพราะพระพุทธเจ้าเสด็จมาเข้าพระสุบินประทานพรแก่พระเจ้าจันทสุริยะ ให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นเพื่อเชิดชูพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง แต่เนื่องจากว่ามีขนาดใหญ่จึงต้องหล่อแยกเป็นชิ้นแล้วจึงนำมาประสานกันได้สนิทจนไม่เห็นรอยต่อเป็นที่น่าอัศจรรย์ เชื่อกันว่าเป็นด้วยพรของพระศาสดาประทานไว้ • ความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหามุนีเลื่องลือไปไกล จึงเป็นที่หมายปองของกษัตริย์พม่านับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโนรธาแห่งอาณาจักรพุกาม บุเรงนองมหาราชแห่งหงสาวดี และอลองพญามหาราชแห่งรัตนปุระอังวะ ล้วนเพียรพยายามยกทัพไปชะลอพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานเพื่อเป็นศิริมงคลแห่งดินแดนพม่าทุกยุคทุกสมัย แต่ต้องล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความทุรกันดารของเส้นทางที่เต็มไปด้วยแม่น้ำและภูเขาสูง
จนกระทั่งประสบความสำเร็จในสมัยพระเจ้าปดุง ก็สามารถนำเอาพระมหามุนีมาไว้ที่กรุงมัณฑะเลย์เมื่อปี พ.ศ.2327 ในปัจจุบันชาวพม่ายังเรียกพระมหามุนีอีกชื่อหนึ่งว่า “พระยะไข่”
• วัดมหามัยมุนีมีธรรมเนียมปฎิบัติเช่นเดียวกับปูชนียสถานทุกแห่งในพม่าคือไม่อนุญาตให้สุภาพสตรีเข้าใกล้องค์พระได้เท่าสุภาพบุรุษ ซึ่งสามารถขึ้นไปปิดทองที่องค์พระได้เลย โดยทางวัดกำหนดให้เขตสตรีกราบสักการะองค์พระได้ระยะใกล้สุดราว 10 เมตร แต่สามารถซื้อแผ่นทองฝากผู้ชายขึ้นไปปิดทองแทนได้
• อย่างไรก็ตาม มีกิจกรรมหนึ่งที่จะทำให้สตรีสามารถสัมผัสองค์พระได้ โดยผ่านแป้งตะนะคาที่ใช้ล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี โดยทุกๆเช้า ทางวัดจึงจัดพื้นที่บริเวณลานด้านหน้าองค์พระ ให้พุทธศาสนิกชนทั้งชายและหญิงช่วยกันฝนท่อนไม้ตะนะคา เพื่อให้ได้แป้งหอมจากเปลือกไม้ แล้วเอามาใส่ผอบรวมกันไว้มากๆ สำหรับนำไปผสมน้ำประพรมพระพักตร์องค์พระในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
• ด้วยเหตุแห่งความศรัทธาว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต จึงเป็นที่มาของธรรมเนียมการล้างพระพักตร์ให้องค์พระทุกๆรุ่งสาง เหมือนดั่งคนที่ต้องล้างหน้าแปรงฟันทุกเช้า โดยมีพระทำหน้าที่ล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีทุกวันตั้งแต่ราวตีสี่ครึ่ง โดยเริ่มจากประพรมพระพักตร์ด้วยน้ำผสมเครื่องหอมทำจากเปลือกไม้ “ตะนะคา” ซึ่งชาวบ้านนำมาบริจาคให้วัดทุกวัน จากนั้น ก็ใช้แปรงขนาดใหญ่ขัดสีบริเวณพระโอษฐ์ดั่งการแปรงฟันแล้วใช้ผ้าเปียกลูบไล้เครื่องหอมดั่งการฟอกสบู่จนทั่วทั้งพระพักตร์ จึงมาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือการใช้ผ้าขนหนูเช็ดพระพักตร์ให้แห้งและขัดสีให้เนื้อทองสัมฤทธิ์ที่พระพัตร์นั้นสุกปลั่งเป็นเงางามอยู่เสมอ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุใดพระมหามัยมุนีจึงเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์อิ่มเอิบเป็นประกายวาววามอย่างที่สุดองค์
(อ้างอิงจากอินเตอร์เนต)
ใช้เวลาตั้งแต่ตี 5 ยันเกือบ 7 โมงเช้า จริงๆ เรารอให้ฟ้าแจ้งสักหน่อย และก้อตั้งหลักสักนิดว่าจะเอาไงกับแผนวันนี้ดี เพราะห้องพักก้อยังไม่ได้จองเลย กะมาหาเอาข้างหน้า ออกมาดูมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้วราคาสูงไปหน่อย เลยนั่่งรถสองแถวดีกว่า ให้ไปส่งใจกลางเมือง จิ้มๆ แผนที่ให้เด็กท้ายรถดู
จ่ายค่ารถไป 500 จ้าดด ขณะที่ชาวพม่าทั่วไปจ่ายแค่ 100 จ้าดด นั่งไปบนรถ พระที่นี่เก่ง
โหนรถกันสุดฤทธิ์ นั่งใกล้สาวๆ ก้อได้ด้วยนะ แหะ แหะ
ไปลงตรงนี้เดินไปเรื่อยๆ โลนลนี่เพลเนตก้อไม่มี เช้าๆ ยังงี้ ร้านรวงยังไม่ค่อยเปิดเท่าไร ถามคนพม่าไปเรื่อยๆ แต่มองแล้วไม่มีโรงแรมให้เห็นเลย ชักเครียด เห็นหอนาฬิกาไกลๆ อืม อย่างน้อยตรงไหนมีหอนาฬิกา ตรงนั้นถ้าไม่เป็นตลาด ก้อต้องเป็นสถานที่ที่รวมๆ ที่สำคัญเอาไว้ แต่เดินไปถึง
ก้อยังไม่เจอโรงแรมสักที เลยเปลี่ยนแผนกับการหาโรงเแรม ไปล่องเรือไปมิงกุนก่อนดีกว่า
อย่างน้อยไปตั้งหลักบนเรือแล้วค่อยถามหาโรงแรมกับนักท่องทเี่ยวคนอื่นดู
ว่าแล้ว ก้อโบกเรียกมอไซค์รับจ้าง ให้ไปส่งท่าเรือเฟอรี่ไปมิงกุน ในราคา 1000 จ้าดดดดด
ล่องเรือแม่น้ำอิระวดีสู่มิงกุน
• ล่องเรือแม่น้ำอิระวดีสู่มิงกุน แม่น้ำอิรวดี ซึ่งชาวพม่าเรียกว่า “เอยาวดี” แปลว่า “มหานที” นั้น ทั้งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำหล่อเลี้ยงชีวิตและอู่อารยธรรมหล่อเลี้ยงนับพันปี มีต้นกำเนิดมาจากขุนเขาในรัฐกะฉิ่น ทางตอนเหนือสุดของพม่าไหลผ่านใจกลางพม่าไปออกทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย ที่เขตอิรวดีใกล้กรุงย่างกุ้ง คิดเป็นระยะทางรวม 2,170 กิโลเมตร มีจุดล่องเรือชมความงามของแม่น้ำอิรวดีหลายจุด แต่ที่ได้รับความนิยมจุดหนึ่งคือล่องจากชานเมืองมัณฑะเลย์ หรือจากท่าเรือใกล้เจดีย์ชเวไจยัต เขตเมืองอมรปุระ ทวนน้ำไปหมู่บ้านมิงกุน ซึ้งเป็นส่วนหนึ่งของอมรปุระ แต่อยู่บนเกาะกลางลำน้ำอิรวดีและไปได้ด้วยเส้นทางเรือเท่านั้นทว่ามีอนุสรณ์สถานที่แสดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าปดุง อันควรแค่แก่การไปเที่ยวชม โดยใช้เวลาล่องประมาณชั่วโมงครึ่ง รวบเวลาเที่ยวแล้วล่องกลับใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงครึ่ง• ระหว่างทางจะได้เห็นหมู่บ้านอิรวดีที่มีลักษณะเป็น “กึ่งบ้านกึ่งแพ” เนื่องจากระดับน้ำอิรวดีในแต่ละฤดูกาลจะมีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะฤดูน้ำหลาก ระดับน้ำจะขึ้นสูงกว่าฤดูแล้วกว่า 10 เมตร ชาวพม่าจึงนิยมสร้างบ้านกึ่งแพ คือถ้าน้ำขึ้นสูงก็ร่วมแรงกันยกบ้านขึ้นที่ดอน ครั้นน้ำลงมากก็ยกบ้านมาตั้งใกล้น้ำ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้แม่น้ำในชีวิตประจำวัน
ระหว่างที่รอเรือมาเทียบท่า ก้อซื้อตั๋วก่อนในราคา 5000 จ้าด ไม่มีอาหาร หรือ น้ำดื่ม
เตรียมไปเองเด้อ แต่ที่หมู่บ้านมิงกุนก้อมีขายจร้าาา
แอบดูชาวบ้านชาวช่องเขา อิอิ
อิอิ เรือมาแว้ว ขึ้นเรือกันดีกว่า ก้อไม่รู้สินะ ฝรั่งทั้งนั้นเลยย เราได้ที่นั่ง ก้อเตรียมงีบ อิอิอิ นั่งๆ นอนๆ ดูวิวไปเรื่อยๆ มีหลายคนนะ มาคนเดียว อิอิอิ ผู้ชาย แต่เราก้อเป็นนางเดียว บนเรือ ที่ฉายเดี่ยวมาจร้าาาาาาาาา เรือออกจากท่าแล้ว มันกำลังจะพาหัวใจเราโบยบินไปอีกแล้ววววววววว
ผ่านไปสัก ชม นึง ก้อเห็นฝั่งหมู่บ้านมิงกุนลิบๆ ละ อิอิอิ แท้กซี่ที่มิงกุน ต่างก้อเตรียมมารอผู้โดยสาร อิอิอิ จิงๆ ที่นี่ สามารถเดินได้จนทั่ว แต่เกิดมาเรายังไม่เคยนั่งเกวียนเลย ก้อเลยลองซะหน่อย ในราคา 5000 จ้าด แต่เราต่อได้ 4000 จ้าด มีไอ้หนุ่มหน้ามนมาอาสาเป็นไกด์ แต่เราก้ออยากจ่ายให้แหละ สงสารมัน คิดซะว่าจ้างมันมาแบกเป๋า ถ่ายรูป ละ กัน 55555555
เจดีย์มิงกุน
• เจดีย์มิงกุน เมื่อขึ้นฝั่งที่ท่าเรือหมู่บ้านมิงกุนจะพบโบราณสถานจุดแรกคือ เจดีย์เซตตอยา ซึ่งพระเจ้าปดุงโปรดฯให้สร้างครอบรอยพระพุทธบาทจำหลังบนหินอ่อน เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวย่างสู่ดินแดนที่พระเจ้าปดุงมีพระราชดำริจะสร้างเจดีย์มิงกุน หรือ “เจดีย์จักรพรรดิ” ที่ใหญ่ที่สุดและสูงกว่าเจดีย์ใดๆในสุวรรณภูมิ• จุดต่อมาคือซากเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สร้างไม่เสร็จ มีสิงห์คู่ประดับอยู่ด้านหน้า นั่นคือเจดีย์มิงกุน ร่องรอยแห่งความทะเยอทะยานของพระเจ้าปดุง ด้วยภายหลังทรงเคลื่อนทัพไปตียะไข่ แล้วสามารถชะลอพระมหามัยมุนีมาประดิษฐานที่มัณฑะเลย์เป็นผลสำเร็จ จึงทรงฮึกเหิมที่จะกระทำการใหญ่ขึ้นและยากขึ้น ด้วยการทำสงครามแผ่ขยายไปรอบด้าน พร้อมกับเกณฑ์แรงงานข้าทาสจำนวนมากก่อสร้างเจดีย์มิงกุนหรือเจดีย์จักรพรรดิ เพื่อประดิษฐานพระทันตธาตุที่ได้จากพระเจ้ากรุงจีนโดยทรงมุ่งหวังให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ามหาเจดีย์ในสมัยพุกาม และใหญ่โตโอฬารยิ่งกว่าพระปฐมเจดีย์ในสยาม ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในสุวรรณภูมิ ส่งผลให้ข้าทาสชาวยะไข่หรืออาระกันจำนวน 50,000 คนหลบหนีการขดขี่แรงงานไปอยู่ในเขตเบงกอล เป็นดินแดนในอาณัติของอังกฤษ แล้วทำการซ่องสุมกำลังเป็นกองโจร ลอบโจมตีกองทัพพม่าอยู่เนืองๆโดยพม่ากล่าวหาว่าอังกฤษหนุนหลังกลายเป็นฉนวนให้เกิดสงครามอังกฤษ-พม่า อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พม่าเสียเมืองในที่สุด
• อย่างไรก็ตาม งานก่อสร้างเจดีย์มิงกุนดำเนินไปได้เพียง 7 ปี พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคต ภายหลังทรงพ่ายแพ้ไทยในสงครามเก้าทัพ มหาเจดีย์อันยิ่งใหญ่ในพระราชหฤทัยของพระองค์จึงปรากฏเพียงแค่ฐาน ทว่าใหญ่โตมหึมาดั่งภูเขาอิฐที่มีความมั่นคงถึง 50 เมตร ซึ่งหากสร้างเสร็จตามแผนจะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในโลก เพราะสูงถึง 152 เมตร ส่วนรอยแตกร้าวตรงกลางฐานเกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี พ.ศ.2381
ขึ้นไปบนเจดีย์ ถวายดอกไม้ พวงละ 200 จ้าด อิอิอิ ถวายพระทำบุญไป 1000 จ้าดดด
แล้วก้อไปต่อ พม่ามีแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ทำให้สถานที่สำคัญ ๆ ได้รับความเสียหาย ไปด้วย
แต่ยังไม่รุนแรงจนมีผู้เสียชีวิต ร่อยรอยบางอย่างยังหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง
อันนั้นไกด็เขาว่าเป็นหินที่มีรูปร่างคล้ายช้างง อิอิ แต่มันได้พังลงไปเนื่องจากแผ่นดินไหว
ไปต่อกันที่ ระฆังใบยักษ์ จากนี้ไปเราจะต้องเสียค่าเข้าชมหมู่บ้านมิงกุนกันคนละ 3 ยูเอส ดอลล่า
ระฆังมิงกุน
• ระฆังมิงกุน ไม่ไกลจากฐานเจดีย์มิงกุนคือระฆังมิงกุน ที่พระเจ้าปดุงโปรดฯให้สร้างโดยสำเร็จ เพื่ออุทิศทวายแด่มหาเจดีย์มิงกุน จึงต้องมีขนาดใหญ่คู่ควรกัน คือเป็นระฆังยักษ์ที่มีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน เล่าขานกันว่า พระเจ้าปดุงทรงไม่ต้องการให้มีใครสร้างระฆังเลียนแบบ จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทันทีที่สร้างเสร็จ ปัจจุบันถือเป็นระฆังยักษ์ที่มีขนาดเล็กกว่าระฆังแห่งหนึ่งแห่งพระราชวังเครมลินในกรุงมอสโกเพียงใบเดียวทว่าระฆังเครมลินแตกร้าวไปแล้ว ชาวพม่าจึงภาคภูมิใจว่าระฆังมิงกุนเป็นระฆังยักษ์ที่ยังคงส่งเสียงก้องกังวาน ทั้งนี้เคยมีการทดสอบความกว้างใหญ่ของระฆังใบนี้ โดยให้เด็กตัวเล็กๆไปยืนรวมกันอยู่ใต้ระฆังได้ถึง 100 คน
เจดีย์ชินพิวมิน (เมียะเต็งดาน)
• เจดีย์ชินพิวมิน (เมียะเต็งดาน) ประดิษฐานอยู่เหนือระฆังมิงกุนไม่ไกล ได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่สวยสง่ามากแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ พระราชนัดดาในพระเจ้าปดุง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่พระองค์มีต่อพระมหาเทวีชินพิวมิน ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อนเวลาอันควร จึงได้รับสมญานามว่า “ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิรวดี” เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักภูมิจักรวาลคือมีองค์เจดีย์สถิตอยู่ตรงกลาง ณ ยอดเขาพระสุเมรุ อันเชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางและโลกและจักรวาล ล้อมรอบด้วยขุนเขาและมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ
ที่นี่มีรอยร้าว รอบๆ บริเวณ เนื่องมาจากแผ่นดินไหว ต้องเดินขึ้นบันไดไปบนเจดีย์
เรียกเสียงหอบจากเราไปไม่ใช่น้อย อิอิอิอิ
สนุกดีจังกะการนั่งเกวียน แอบสงสารวัว อ่าา อิอิอิ
คงจะหนักน่าดู แดดร้อนนิเหน่อย แต่ก้อยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ จริงๆ ที่นี่ ถ้าไม่คิดมาก เดินเอาก้อเพลินดี ไม่ได้ไกลกันเท่าไร
จะว่าไปพวกฝรั่งนี่ งก กว่าเราอีกนะ
แวะมาหลบลมร้อนนิดหน่อย ณ ลุ่มน้ำ อิระวดี อืม สวยดีเหมือนกันนะ ลุ่มน้ำอิระวดีนี่
คงมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรานั่งชิวๆ สักแป้บ ก้อเดินไปอีกหน่อย เหลืออีกที่หนึ่ง
ที่วัดนี่ กำลังซ่อมแซม เพราะเนื่องมาจากแผ่นดินไหว ทำให้ทั้งตัวโบสถ์ มีรอยร้าว เข้าไป
ก้อเสียวอยู่่นะ แหะ แหะ เพราะ แหงนมองข้างบน มีรอยร้าว
และบางส่วนมีร่องรอยการหลุด การร่วงอยู่
ร่องรอยการถล่มเบาๆ เราใช้เวลาที่นี่ไม่นาน ก้อรีบออกดีกว่า เสียวเว้ยยย
ออกจากวัด แล้วก้อมานั่งเล่น รอเวลากลับ ในตอน บ่ายดมงครึ่ง วันนี้ หนุกหนานชะมัด
เลี้ยงเป๊บซี่ ไกด์ และก้อคนขับแท้กซี่วัว อิอิอิ นั่งเล่นกันไป คุยกับชาวพม่าสนุกดี 5555
สักพักมีเพื่อนฝรั่งมาสมทบ หนุ่มเยอรมัน มาคนเดียว เหมือนกัน
เลยมีโอกาสได้นั่งคุยกัน น่าร๊ากกกกกกกก อ่า
ได้เวลา ก้อรีบขึ้นเรือ กะนอนยาวเลย แต่ขากลับ ไม่ชิวล่ะสิ เพราะ แดดส่องเต็มๆ ฝรั่งดีใจกันใหญ่
ได้อาบแดด ไอ้เราจะลุก ก้อกลัวเสียฟอร์ม เลยนั่งตากแดด*** ไปจนมันดะเล อิอิอิ แต่ได้ผล
ดำขึ้นเป็นกอง เลย ฮ่วยยยยย
ถึงฝั่งแล้ว กะไปหา ไอ้คนขายตั๋วเรือ เพราะเขาบอกว่าจะหาโรงแรมให้ แต่ตอนนั่งบนเรือ
เราได้ยินหนุ่มเยอรมัน คุยกับฝรั่งที่บนเรือว่า เรากำลังหาโรงแรมอยู่ เลยมี ผู้หญิงฝรั่งคคนหนึ่งเข้ามาทักทาย และแนะนำโรงแรมให้เรา น่ารักจังเลยยยยยยยยยยยยย
เธอชื่อรีเบคก้า มากะแฟน ชื่อเดเนียล เราเลยได้ที่พัก เย้ เย้ จะได้อาบน้ำพักผ่อนซะที
ได้โรงแรม ET ตามตำนานในโลนลี่เพลเนตเลย ดีนะ ได้ห้อง เราเลือกห้องแอร์ ราคา 20 ยูเอส ห้องน้ำในตัว อยู่ชั้น 1 อิอิอิอิ มีอาหารเช้าให้ มีไวไฟ แต่ต้องลงมาเล่นข้างล่าง เฮ้อ จะไปสะพานอูเบ็ง แต่ตื่นมาเย็นไปหน่อย เลยไม่ไปดีกว่า นั่งอัพสเตตัสนี่แหละ เพราะ เราไม่ได้ซีเรียส
กับการที่จะต้องไปทุกที่ เพราะถ้าไปจนหมด แล้วคราวหน้าเราจะไปไหน เหลือ ๆ ไว้เป็นเชื้อบ้างเด้อ
เจอน้องคนไทย 2 คน มาพักที่เดียวกัน ดีใจจังอิอิอิอิ อยากพูดไทยจะแย่
น้องเขาก้อต่างตนต่างมา เห็นมะ ใครว่าผู้หญิงเที่ยวคนเดียวไม่หนุก 2 นางนี้ ชีก้อยังสนุกเลย อิอิอิอิ
เช้าวันนี้ ได้ฤกษ์กลับเมืองไทย แผ่นดินแม่ของฉัน คิดถึงที่สุด ที่ไหนก้อไม่เหมือนบ้านเราาาาาาาาาา
ตื่นมาแต่เช้า เพราะเรานัด เดเนียล กะรีเบคก้าไว้ ว่าจะแชร์แท้กซี่ไปกัน เพราะ 2 คนเขาจะมา สวีทกันที่เกาะ หลีเป้ะ อิจฉาเล็กๆ อิอิอิ
บางทีการมีแฟนมันก้อคงดีเหมือนกันนะ ป่อยยยยยย
แล้วเราก้อเจอ อาลีอีกครั้ง เธอมาถึงตอนเช้าในวันที่เราจะกลับพอดี น้องหนู
เลยชวนเราออกไปเดินเล่นหาไรกิน ก้อดีเหมือนกัน ตั้งแต่มา นอกจากอาหารที่
โรงแรม เราเองก้อยังไม่เคยกินอาหารท้องถิ่นเลยนั่งดูน้องหนูกินไปสักพัก อิอิอิ ชักหิวละ เลยสั่งแบบแห้งมาชิมสักชาม อิอิอิ บีบมะนาว เ
ติมพริกหน่อย อร่อย แฮะ น้องหนูเลยขอคอนเฟิร์ม ด้้วยการเบิ้ลตามอีกชามม 5555555
กลับมาที่โรงแรม เดเนียลก้อเดินมาตามเราเพราะได้เวลาที่นัดไว้
เราจะไปสนามบินมันฑะเลย์ เพราะกลับไฟลท์ 11.30
ขอบอกว่า ไกลเหมือนกันนะ หนามบิน มากกกกกกกกกกก ถ้านั่งแท้กซี่มา
จะอยู่ในราคา 20000 จ้าด
แต่ถ้าบอกโรงแรมเขาก้อจะหาคนแชร์ ให้ คนละ 5000 จ้าดดด อิอิอิ
แต่เดเนียลกะรีเบคก้า คิดเราแค่ 4000 จ้าดดด น่ารักจัง
ถึงแล้ว หนามบินมันดะเล อิอิอิอิ
บุหรี่พม่า น้องหนู ให้ลอง 1 มวน บอก หวานเจี๊ยบบบบบบบบบบบบ อิอิอิอิ เลยลองซะหน่อย
โฉมหน้า รีเบกก้ากะเดเนียล
ขอบคุณนะ ที่ทำให้เรายังรู้ว่า
การพบกันเพื่อจาก มิใช่เพียงแค่ความอาลัย หรือรอยน้ำตา
หากแต่การพบและการจากในครั้งนี้ มันทำให้เราอิ่มเอมในหัวใจ ตลอดกาลลลลลลลลลลลลลลล
จบกับทริปพม่า ไว้กลับไปใหม่ อิอิอิอิ
ดอกไม้ทะเลทราย
ผู้แต่ง
กฎเหล็กของนักเดินทาง เราพบกันเพื่อจาก แม้จะอาวรณ์สักเพียงใด คงเอ่ยได้เพียงแค่คำลา
https://www.facebook.com/DxkmiThaleThrayDesertFlower/info