วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 2 สู่มันฑะเลย์

แบกเป้ตามใจฉัน สไตล์ดอกไม้ทะเลทราย
ตอนที่ 2  จากย่างกุ้ง สู่มันฑะเลย์

ก้อไม่รู้สินะ หลังจากรถแวะ กลางทาง 2 รอบ ให้เข้าห้องน้ำแปรงฟัน ทานอาหารกัน
 ที่แวะเขาก้อเริ่่ดมากกกกกกกกกกก ใหญ่โต อลังการงานสร้าง ทั้งร้านอาหาร ผับ อิอิ มีหมด 
แวะสักพักรถก้อออกเดินทางต่อ และในที่สุดก้อถึงมันดะเล ในตอน ตี ห้า แต่คงไม่ทันไปดูล้างหน้าพระมัยมุนีแล้ว เพราะพิธีล้างหน้าจะเริ่มขึ้นในตอนตี 4 ลงรถแล้ว 
เราก้อเรียกมอไซด์รับจ้างไปที่วัดเลย ในราคา 2000 จ้าดด




ในที่สุดก้อมาถึงจนได้ หุหุหุหุ มันดะเล ที่รัก สายลมแห่งโชคชะตา พัดพาเรามาจนถึงที่นี่เพียงลำพัง ถึงหน้าวัด แล้วเราก้อถอดรองเท้าเก็บใสกระเป๋าเป้ เดินเข้าวัด ส่งสายตาเหี้ยมๆ 
ทักทายพวกพ่อค้าแม่ค้าซะหน่อย อิอิอิ ไม่มีใครมายุ่งกะเราเลย 
เสียงสวดมนต์ระงมไปทั่วบริเวณ ทำให้เราต้องสำรวมขึ้นอีกหน่อย



พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า
• ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้าจันทสุริยะ กษัตริย์ของชาวยะไข่แห่งเมืองธัญญวดี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐยะไข่ ทางด้านตะวันตกของพม่าติดกับบังคลาเทศ) โปรดฯให้สร้างพระมหามัยมุนี ซึ่งแปลว่า “มหาปราชญ์” ขึ้นในปี พ.ศ.689 หรือเกือบสองพันปีมาแล้ว เหตุเพราะพระพุทธเจ้าเสด็จมาเข้าพระสุบินประทานพรแก่พระเจ้าจันทสุริยะ ให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นเพื่อเชิดชูพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง แต่เนื่องจากว่ามีขนาดใหญ่จึงต้องหล่อแยกเป็นชิ้นแล้วจึงนำมาประสานกันได้สนิทจนไม่เห็นรอยต่อเป็นที่น่าอัศจรรย์ เชื่อกันว่าเป็นด้วยพรของพระศาสดาประทานไว้ 
• ความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหามุนีเลื่องลือไปไกล จึงเป็นที่หมายปองของกษัตริย์พม่านับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโนรธาแห่งอาณาจักรพุกาม บุเรงนองมหาราชแห่งหงสาวดี และอลองพญามหาราชแห่งรัตนปุระอังวะ ล้วนเพียรพยายามยกทัพไปชะลอพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานเพื่อเป็นศิริมงคลแห่งดินแดนพม่าทุกยุคทุกสมัย แต่ต้องล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความทุรกันดารของเส้นทางที่เต็มไปด้วยแม่น้ำและภูเขาสูง
จนกระทั่งประสบความสำเร็จในสมัยพระเจ้าปดุง ก็สามารถนำเอาพระมหามุนีมาไว้ที่กรุงมัณฑะเลย์เมื่อปี พ.ศ.2327 ในปัจจุบันชาวพม่ายังเรียกพระมหามุนีอีกชื่อหนึ่งว่า “พระยะไข่”
• วัดมหามัยมุนีมีธรรมเนียมปฎิบัติเช่นเดียวกับปูชนียสถานทุกแห่งในพม่าคือไม่อนุญาตให้สุภาพสตรีเข้าใกล้องค์พระได้เท่าสุภาพบุรุษ ซึ่งสามารถขึ้นไปปิดทองที่องค์พระได้เลย โดยทางวัดกำหนดให้เขตสตรีกราบสักการะองค์พระได้ระยะใกล้สุดราว 10 เมตร แต่สามารถซื้อแผ่นทองฝากผู้ชายขึ้นไปปิดทองแทนได้
• อย่างไรก็ตาม มีกิจกรรมหนึ่งที่จะทำให้สตรีสามารถสัมผัสองค์พระได้ โดยผ่านแป้งตะนะคาที่ใช้ล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี โดยทุกๆเช้า ทางวัดจึงจัดพื้นที่บริเวณลานด้านหน้าองค์พระ ให้พุทธศาสนิกชนทั้งชายและหญิงช่วยกันฝนท่อนไม้ตะนะคา เพื่อให้ได้แป้งหอมจากเปลือกไม้ แล้วเอามาใส่ผอบรวมกันไว้มากๆ สำหรับนำไปผสมน้ำประพรมพระพักตร์องค์พระในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
• ด้วยเหตุแห่งความศรัทธาว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต จึงเป็นที่มาของธรรมเนียมการล้างพระพักตร์ให้องค์พระทุกๆรุ่งสาง เหมือนดั่งคนที่ต้องล้างหน้าแปรงฟันทุกเช้า โดยมีพระทำหน้าที่ล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีทุกวันตั้งแต่ราวตีสี่ครึ่ง โดยเริ่มจากประพรมพระพักตร์ด้วยน้ำผสมเครื่องหอมทำจากเปลือกไม้ “ตะนะคา” ซึ่งชาวบ้านนำมาบริจาคให้วัดทุกวัน จากนั้น ก็ใช้แปรงขนาดใหญ่ขัดสีบริเวณพระโอษฐ์ดั่งการแปรงฟันแล้วใช้ผ้าเปียกลูบไล้เครื่องหอมดั่งการฟอกสบู่จนทั่วทั้งพระพักตร์ จึงมาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือการใช้ผ้าขนหนูเช็ดพระพักตร์ให้แห้งและขัดสีให้เนื้อทองสัมฤทธิ์ที่พระพัตร์นั้นสุกปลั่งเป็นเงางามอยู่เสมอ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุใดพระมหามัยมุนีจึงเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์อิ่มเอิบเป็นประกายวาววามอย่างที่สุดองค์
(อ้างอิงจากอินเตอร์เนต)







ใช้เวลาตั้งแต่ตี 5 ยันเกือบ 7 โมงเช้า จริงๆ เรารอให้ฟ้าแจ้งสักหน่อย และก้อตั้งหลักสักนิดว่าจะเอาไงกับแผนวันนี้ดี เพราะห้องพักก้อยังไม่ได้จองเลย กะมาหาเอาข้างหน้า ออกมาดูมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้วราคาสูงไปหน่อย เลยนั่่งรถสองแถวดีกว่า ให้ไปส่งใจกลางเมือง จิ้มๆ แผนที่ให้เด็กท้ายรถดู 
จ่ายค่ารถไป 500 จ้าดด ขณะที่ชาวพม่าทั่วไปจ่ายแค่ 100 จ้าดด นั่งไปบนรถ พระที่นี่เก่ง 
โหนรถกันสุดฤทธิ์ นั่งใกล้สาวๆ ก้อได้ด้วยนะ แหะ แหะ 


ไปลงตรงนี้เดินไปเรื่อยๆ โลนลนี่เพลเนตก้อไม่มี เช้าๆ ยังงี้ ร้านรวงยังไม่ค่อยเปิดเท่าไร ถามคนพม่าไปเรื่อยๆ แต่มองแล้วไม่มีโรงแรมให้เห็นเลย ชักเครียด เห็นหอนาฬิกาไกลๆ อืม อย่างน้อยตรงไหนมีหอนาฬิกา ตรงนั้นถ้าไม่เป็นตลาด ก้อต้องเป็นสถานที่ที่รวมๆ ที่สำคัญเอาไว้ แต่เดินไปถึง 
ก้อยังไม่เจอโรงแรมสักที เลยเปลี่ยนแผนกับการหาโรงเแรม ไปล่องเรือไปมิงกุนก่อนดีกว่า 
อย่างน้อยไปตั้งหลักบนเรือแล้วค่อยถามหาโรงแรมกับนักท่องทเี่ยวคนอื่นดู
 ว่าแล้ว ก้อโบกเรียกมอไซค์รับจ้าง ให้ไปส่งท่าเรือเฟอรี่ไปมิงกุน ในราคา 1000 จ้าดดดดด


ล่องเรือแม่น้ำอิระวดีสู่มิงกุน
• ล่องเรือแม่น้ำอิระวดีสู่มิงกุน แม่น้ำอิรวดี ซึ่งชาวพม่าเรียกว่า “เอยาวดี” แปลว่า “มหานที” นั้น ทั้งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำหล่อเลี้ยงชีวิตและอู่อารยธรรมหล่อเลี้ยงนับพันปี มีต้นกำเนิดมาจากขุนเขาในรัฐกะฉิ่น ทางตอนเหนือสุดของพม่าไหลผ่านใจกลางพม่าไปออกทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย ที่เขตอิรวดีใกล้กรุงย่างกุ้ง คิดเป็นระยะทางรวม 2,170 กิโลเมตร มีจุดล่องเรือชมความงามของแม่น้ำอิรวดีหลายจุด แต่ที่ได้รับความนิยมจุดหนึ่งคือล่องจากชานเมืองมัณฑะเลย์ หรือจากท่าเรือใกล้เจดีย์ชเวไจยัต เขตเมืองอมรปุระ ทวนน้ำไปหมู่บ้านมิงกุน ซึ้งเป็นส่วนหนึ่งของอมรปุระ แต่อยู่บนเกาะกลางลำน้ำอิรวดีและไปได้ด้วยเส้นทางเรือเท่านั้นทว่ามีอนุสรณ์สถานที่แสดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าปดุง อันควรแค่แก่การไปเที่ยวชม โดยใช้เวลาล่องประมาณชั่วโมงครึ่ง รวบเวลาเที่ยวแล้วล่องกลับใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงครึ่ง
• ระหว่างทางจะได้เห็นหมู่บ้านอิรวดีที่มีลักษณะเป็น “กึ่งบ้านกึ่งแพ” เนื่องจากระดับน้ำอิรวดีในแต่ละฤดูกาลจะมีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะฤดูน้ำหลาก ระดับน้ำจะขึ้นสูงกว่าฤดูแล้วกว่า 10 เมตร ชาวพม่าจึงนิยมสร้างบ้านกึ่งแพ คือถ้าน้ำขึ้นสูงก็ร่วมแรงกันยกบ้านขึ้นที่ดอน ครั้นน้ำลงมากก็ยกบ้านมาตั้งใกล้น้ำ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้แม่น้ำในชีวิตประจำวัน



ระหว่างที่รอเรือมาเทียบท่า ก้อซื้อตั๋วก่อนในราคา 5000 จ้าด ไม่มีอาหาร หรือ น้ำดื่ม 
เตรียมไปเองเด้อ แต่ที่หมู่บ้านมิงกุนก้อมีขายจร้าาา



แอบดูชาวบ้านชาวช่องเขา อิอิ



อิอิ เรือมาแว้ว ขึ้นเรือกันดีกว่า ก้อไม่รู้สินะ ฝรั่งทั้งนั้นเลยย เราได้ที่นั่ง ก้อเตรียมงีบ อิอิอิ นั่งๆ นอนๆ ดูวิวไปเรื่อยๆ มีหลายคนนะ มาคนเดียว อิอิอิ ผู้ชาย แต่เราก้อเป็นนางเดียว บนเรือ ที่ฉายเดี่ยวมาจร้าาาาาาาาา เรือออกจากท่าแล้ว มันกำลังจะพาหัวใจเราโบยบินไปอีกแล้ววววววววว 

ผ่านไปสัก ชม นึง ก้อเห็นฝั่งหมู่บ้านมิงกุนลิบๆ ละ อิอิอิ แท้กซี่ที่มิงกุน ต่างก้อเตรียมมารอผู้โดยสาร อิอิอิ จิงๆ ที่นี่ สามารถเดินได้จนทั่ว แต่เกิดมาเรายังไม่เคยนั่งเกวียนเลย ก้อเลยลองซะหน่อย ในราคา 5000 จ้าด แต่เราต่อได้ 4000 จ้าด มีไอ้หนุ่มหน้ามนมาอาสาเป็นไกด์ แต่เราก้ออยากจ่ายให้แหละ สงสารมัน คิดซะว่าจ้างมันมาแบกเป๋า ถ่ายรูป ละ กัน 55555555 


เจดีย์มิงกุน
• เจดีย์มิงกุน เมื่อขึ้นฝั่งที่ท่าเรือหมู่บ้านมิงกุนจะพบโบราณสถานจุดแรกคือ เจดีย์เซตตอยา ซึ่งพระเจ้าปดุงโปรดฯให้สร้างครอบรอยพระพุทธบาทจำหลังบนหินอ่อน เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวย่างสู่ดินแดนที่พระเจ้าปดุงมีพระราชดำริจะสร้างเจดีย์มิงกุน หรือ “เจดีย์จักรพรรดิ” ที่ใหญ่ที่สุดและสูงกว่าเจดีย์ใดๆในสุวรรณภูมิ
• จุดต่อมาคือซากเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สร้างไม่เสร็จ มีสิงห์คู่ประดับอยู่ด้านหน้า นั่นคือเจดีย์มิงกุน ร่องรอยแห่งความทะเยอทะยานของพระเจ้าปดุง ด้วยภายหลังทรงเคลื่อนทัพไปตียะไข่ แล้วสามารถชะลอพระมหามัยมุนีมาประดิษฐานที่มัณฑะเลย์เป็นผลสำเร็จ จึงทรงฮึกเหิมที่จะกระทำการใหญ่ขึ้นและยากขึ้น ด้วยการทำสงครามแผ่ขยายไปรอบด้าน พร้อมกับเกณฑ์แรงงานข้าทาสจำนวนมากก่อสร้างเจดีย์มิงกุนหรือเจดีย์จักรพรรดิ เพื่อประดิษฐานพระทันตธาตุที่ได้จากพระเจ้ากรุงจีนโดยทรงมุ่งหวังให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ามหาเจดีย์ในสมัยพุกาม และใหญ่โตโอฬารยิ่งกว่าพระปฐมเจดีย์ในสยาม ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในสุวรรณภูมิ ส่งผลให้ข้าทาสชาวยะไข่หรืออาระกันจำนวน 50,000 คนหลบหนีการขดขี่แรงงานไปอยู่ในเขตเบงกอล เป็นดินแดนในอาณัติของอังกฤษ แล้วทำการซ่องสุมกำลังเป็นกองโจร ลอบโจมตีกองทัพพม่าอยู่เนืองๆโดยพม่ากล่าวหาว่าอังกฤษหนุนหลังกลายเป็นฉนวนให้เกิดสงครามอังกฤษ-พม่า อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พม่าเสียเมืองในที่สุด
• อย่างไรก็ตาม งานก่อสร้างเจดีย์มิงกุนดำเนินไปได้เพียง 7 ปี พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคต ภายหลังทรงพ่ายแพ้ไทยในสงครามเก้าทัพ มหาเจดีย์อันยิ่งใหญ่ในพระราชหฤทัยของพระองค์จึงปรากฏเพียงแค่ฐาน ทว่าใหญ่โตมหึมาดั่งภูเขาอิฐที่มีความมั่นคงถึง 50 เมตร ซึ่งหากสร้างเสร็จตามแผนจะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในโลก เพราะสูงถึง 152 เมตร ส่วนรอยแตกร้าวตรงกลางฐานเกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี พ.ศ.2381



ขึ้นไปบนเจดีย์ ถวายดอกไม้ พวงละ 200 จ้าด อิอิอิ ถวายพระทำบุญไป 1000 จ้าดดด 
แล้วก้อไปต่อ พม่ามีแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ทำให้สถานที่สำคัญ ๆ ได้รับความเสียหาย ไปด้วย
 แต่ยังไม่รุนแรงจนมีผู้เสียชีวิต ร่อยรอยบางอย่างยังหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง 



อันนั้นไกด็เขาว่าเป็นหินที่มีรูปร่างคล้ายช้างง อิอิ แต่มันได้พังลงไปเนื่องจากแผ่นดินไหว


ไปต่อกันที่ ระฆังใบยักษ์ จากนี้ไปเราจะต้องเสียค่าเข้าชมหมู่บ้านมิงกุนกันคนละ 3 ยูเอส ดอลล่า 



ระฆังมิงกุน
• ระฆังมิงกุน ไม่ไกลจากฐานเจดีย์มิงกุนคือระฆังมิงกุน ที่พระเจ้าปดุงโปรดฯให้สร้างโดยสำเร็จ เพื่ออุทิศทวายแด่มหาเจดีย์มิงกุน จึงต้องมีขนาดใหญ่คู่ควรกัน คือเป็นระฆังยักษ์ที่มีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน เล่าขานกันว่า พระเจ้าปดุงทรงไม่ต้องการให้มีใครสร้างระฆังเลียนแบบ จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทันทีที่สร้างเสร็จ ปัจจุบันถือเป็นระฆังยักษ์ที่มีขนาดเล็กกว่าระฆังแห่งหนึ่งแห่งพระราชวังเครมลินในกรุงมอสโกเพียงใบเดียวทว่าระฆังเครมลินแตกร้าวไปแล้ว ชาวพม่าจึงภาคภูมิใจว่าระฆังมิงกุนเป็นระฆังยักษ์ที่ยังคงส่งเสียงก้องกังวาน ทั้งนี้เคยมีการทดสอบความกว้างใหญ่ของระฆังใบนี้ โดยให้เด็กตัวเล็กๆไปยืนรวมกันอยู่ใต้ระฆังได้ถึง 100 คน


เจดีย์ชินพิวมิน (เมียะเต็งดาน)
• เจดีย์ชินพิวมิน (เมียะเต็งดาน) ประดิษฐานอยู่เหนือระฆังมิงกุนไม่ไกล ได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่สวยสง่ามากแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ พระราชนัดดาในพระเจ้าปดุง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่พระองค์มีต่อพระมหาเทวีชินพิวมิน ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อนเวลาอันควร จึงได้รับสมญานามว่า “ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิรวดี” เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักภูมิจักรวาลคือมีองค์เจดีย์สถิตอยู่ตรงกลาง ณ ยอดเขาพระสุเมรุ อันเชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางและโลกและจักรวาล ล้อมรอบด้วยขุนเขาและมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ


ที่นี่มีรอยร้าว รอบๆ บริเวณ เนื่องมาจากแผ่นดินไหว ต้องเดินขึ้นบันไดไปบนเจดีย์ 
เรียกเสียงหอบจากเราไปไม่ใช่น้อย อิอิอิอิ



สนุกดีจังกะการนั่งเกวียน แอบสงสารวัว อ่าา อิอิอิ 
คงจะหนักน่าดู แดดร้อนนิเหน่อย แต่ก้อยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ จริงๆ ที่นี่ ถ้าไม่คิดมาก 
เดินเอาก้อเพลินดี ไม่ได้ไกลกันเท่าไร 
จะว่าไปพวกฝรั่งนี่ งก กว่าเราอีกนะ 


แวะมาหลบลมร้อนนิดหน่อย ณ ลุ่มน้ำ อิระวดี อืม สวยดีเหมือนกันนะ ลุ่มน้ำอิระวดีนี่
 คงมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรานั่งชิวๆ สักแป้บ ก้อเดินไปอีกหน่อย เหลืออีกที่หนึ่ง 





ที่วัดนี่ กำลังซ่อมแซม เพราะเนื่องมาจากแผ่นดินไหว ทำให้ทั้งตัวโบสถ์ มีรอยร้าว เข้าไป 
ก้อเสียวอยู่่นะ แหะ แหะ เพราะ แหงนมองข้างบน มีรอยร้าว
 และบางส่วนมีร่องรอยการหลุด การร่วงอยู่ 




ร่องรอยการถล่มเบาๆ เราใช้เวลาที่นี่ไม่นาน ก้อรีบออกดีกว่า เสียวเว้ยยย




ออกจากวัด แล้วก้อมานั่งเล่น รอเวลากลับ ในตอน บ่ายดมงครึ่ง วันนี้ หนุกหนานชะมัด 
เลี้ยงเป๊บซี่ ไกด์ และก้อคนขับแท้กซี่วัว อิอิอิ นั่งเล่นกันไป คุยกับชาวพม่าสนุกดี 5555 
สักพักมีเพื่อนฝรั่งมาสมทบ หนุ่มเยอรมัน มาคนเดียว เหมือนกัน
เลยมีโอกาสได้นั่งคุยกัน น่าร๊ากกกกกกกก อ่า




ได้เวลา ก้อรีบขึ้นเรือ กะนอนยาวเลย แต่ขากลับ ไม่ชิวล่ะสิ เพราะ แดดส่องเต็มๆ ฝรั่งดีใจกันใหญ่ 
ได้อาบแดด ไอ้เราจะลุก ก้อกลัวเสียฟอร์ม เลยนั่งตากแดด*** ไปจนมันดะเล อิอิอิ แต่ได้ผล 
ดำขึ้นเป็นกอง เลย ฮ่วยยยยย


ถึงฝั่งแล้ว กะไปหา ไอ้คนขายตั๋วเรือ เพราะเขาบอกว่าจะหาโรงแรมให้ แต่ตอนนั่งบนเรือ 
เราได้ยินหนุ่มเยอรมัน คุยกับฝรั่งที่บนเรือว่า เรากำลังหาโรงแรมอยู่ เลยมี ผู้หญิงฝรั่งคคนหนึ่งเข้ามาทักทาย และแนะนำโรงแรมให้เรา น่ารักจังเลยยยยยยยยยยยยย 
เธอชื่อรีเบคก้า มากะแฟน ชื่อเดเนียล เราเลยได้ที่พัก เย้ เย้ จะได้อาบน้ำพักผ่อนซะที



ได้โรงแรม ET ตามตำนานในโลนลี่เพลเนตเลย ดีนะ ได้ห้อง เราเลือกห้องแอร์ ราคา 20 ยูเอส ห้องน้ำในตัว อยู่ชั้น 1 อิอิอิอิ มีอาหารเช้าให้ มีไวไฟ แต่ต้องลงมาเล่นข้างล่าง เฮ้อ จะไปสะพานอูเบ็ง แต่ตื่นมาเย็นไปหน่อย เลยไม่ไปดีกว่า นั่งอัพสเตตัสนี่แหละ เพราะ เราไม่ได้ซีเรียส 
กับการที่จะต้องไปทุกที่ เพราะถ้าไปจนหมด แล้วคราวหน้าเราจะไปไหน เหลือ ๆ ไว้เป็นเชื้อบ้างเด้อ 


เจอน้องคนไทย 2 คน มาพักที่เดียวกัน ดีใจจังอิอิอิอิ อยากพูดไทยจะแย่ 
น้องเขาก้อต่างตนต่างมา เห็นมะ ใครว่าผู้หญิงเที่ยวคนเดียวไม่หนุก 2 นางนี้ ชีก้อยังสนุกเลย อิอิอิอิ



เช้าวันนี้ ได้ฤกษ์กลับเมืองไทย แผ่นดินแม่ของฉัน คิดถึงที่สุด ที่ไหนก้อไม่เหมือนบ้านเราาาาาาาาาา
ตื่นมาแต่เช้า เพราะเรานัด เดเนียล กะรีเบคก้าไว้ ว่าจะแชร์แท้กซี่ไปกัน เพราะ 2 คน
 เขาจะมา สวีทกันที่เกาะ หลีเป้ะ อิจฉาเล็กๆ อิอิอิ 
บางทีการมีแฟนมันก้อคงดีเหมือนกันนะ ป่อยยยยยย



แล้วเราก้อเจอ อาลีอีกครั้ง เธอมาถึงตอนเช้าในวันที่เราจะกลับพอดี น้องหนู 
เลยชวนเราออกไปเดินเล่นหาไรกิน ก้อดีเหมือนกัน ตั้งแต่มา นอกจากอาหารที่
โรงแรม เราเองก้อยังไม่เคยกินอาหารท้องถิ่นเลย



นั่งดูน้องหนูกินไปสักพัก อิอิอิ ชักหิวละ เลยสั่งแบบแห้งมาชิมสักชาม อิอิอิ บีบมะนาว เ
ติมพริกหน่อย อร่อย แฮะ น้องหนูเลยขอคอนเฟิร์ม ด้้วยการเบิ้ลตามอีกชามม 5555555 



กลับมาที่โรงแรม เดเนียลก้อเดินมาตามเราเพราะได้เวลาที่นัดไว้ 
เราจะไปสนามบินมันฑะเลย์ เพราะกลับไฟลท์ 11.30 


ขอบอกว่า ไกลเหมือนกันนะ หนามบิน มากกกกกกกกกกก ถ้านั่งแท้กซี่มา 
จะอยู่ในราคา 20000 จ้าด 
แต่ถ้าบอกโรงแรมเขาก้อจะหาคนแชร์ ให้ คนละ 5000 จ้าดดด อิอิอิ 
แต่เดเนียลกะรีเบคก้า คิดเราแค่ 4000 จ้าดดด น่ารักจัง 


ถึงแล้ว หนามบินมันดะเล อิอิอิอิ 


บุหรี่พม่า น้องหนู ให้ลอง 1 มวน บอก หวานเจี๊ยบบบบบบบบบบบบ อิอิอิอิ เลยลองซะหน่อย





โฉมหน้า รีเบกก้ากะเดเนียล 
ขอบคุณนะ ที่ทำให้เรายังรู้ว่า 
การพบกันเพื่อจาก มิใช่เพียงแค่ความอาลัย หรือรอยน้ำตา 
หากแต่การพบและการจากในครั้งนี้ มันทำให้เราอิ่มเอมในหัวใจ ตลอดกาลลลลลลลลลลลลลลล

จบกับทริปพม่า ไว้กลับไปใหม่ อิอิอิอิ






ดอกไม้ทะเลทราย
ผู้แต่ง
กฎเหล็กของนักเดินทาง เราพบกันเพื่อจาก แม้จะอาวรณ์สักเพียงใด คงเอ่ยได้เพียงแค่คำลา

https://www.facebook.com/DxkmiThaleThrayDesertFlower/info

ตอนที่ 1 สู่มหาชเวดากอง ย่างกุ้ง

8-11 ธค 55 ลงย่างกุ้งกลับทางมัณฑะเลย์

• 5 มหาบูชาสถาน : สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของประเทศพม่า
• ชาวพม่าได้ชื่อว่า เป็นชนชาติที่ยังยึดมั่นคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่ที่สุดชาติหนึ่งในโลก มีการสร้างเจดีย์ พระธาตุ ศาสนสถาน ทั่วทั้งประเทศ ดังนั้นจึงมีปูชนียสถานอันเป็นที่สักการบูชาของชาวพม่า และชาวมอญอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ที่นับถือเป็นมหาบูชาสถานสำคัญสูงสุดมีเพียง 5 แห่ง ที่เป็นความใฝ่ฝันของชาวพุทธพม่าว่าครั้งหนึ่งในชีวิตควรได้เดินทางไป สักการบูชาให้ครบทั้ง 5 แห่ง จึงจะนอนตายตาหลับหรือได้ขึ้นสวรรค์ มหาบูชาสถานทั้ง 5 แห่งนี้ได้แก่
1.มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง
• มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ รวม 8 เส้น ของพระพุทธเจ้า มีประวัติตำนานเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ตั้งแต่ครั้งที่ย่างกุ้งยังเป็นดินแดนของมอญมีชื่อเดิมว่า “ดากอง” หรือ “ตะเกิง” ก่อนจะถูกพม่ายึดครองไป แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ย่างกุ้ง” “ชเวดากอง” แปลว่า “เจดีย์ทองแห่งเมืองดากอง” มหาเจดีย์แห่งนี้มีการบูรณปฏิสังขรณ์มาด้วยกันหลายครั้ง โดยเฉพาะมีโบราณราชประเพณีที่กษัตริย์ของมอญและพม่าที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จะต้องถวายทองคำหนักเท่ากับน้ำหนักของพระองค์เอง เพื่อนำมาห้อหุ้มองค์พระเจดีย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณของชาวพุทธ แห่งลุ่มน้ำอิระวดีที่สำคัญที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน
2.มหาเจดีย์ชเวซิกอง เมืองพุกาม 
• มหาเจดีย์ชเวซิกอง เมืองพุกาม เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างโดยพระเจ้าอโรรธามหาราชพระองค์แรก ผู้รวบรวมชนชาติพม่าเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรกในอาณาจักรพุกามเมื่อ 900 ปีเศษมาแล้ว ภายหลังทรงยกทัพไปตีมอญที่อาณาจักรสุธรรมวดี ได้แล้วทรงกวาดต้อนชาวมอญ ตลอดจนช่างฝีมือ นักปราชญ์ และ ราชบัณฑิตมาที่เมืองพุกาม ทำให้พม่าได้รับอิทธิพงศิลปวัฒนธรรมจากมอญมาโดยไม่รู้ตัว ดังเช่น รูปร่างของเจดีย์ชเวซิกอง ก็มีรูปทรงระฆังคว่ำแบบมอญ ก่อนที่จะมีพุทธศิลป์ สกุลช่างพุกามเกิดขึ้น “ชเวซิกอง” แปลว่า “เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นทราย
3.เจดีย์ชเวมอดอร์ เมืองหงสาวดี 
• เจดีย์ชเวมอดอร์ เมืองหงสาวดี หรือที่เราเรียกกันว่า พระธาตุมุเตา เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุรวม 2 เส้น มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี เป็นที่เคารพสักการะของทั้งกษัตริย์ มอญ พม่า และไทย เช่น พระเจ้าราชาธิราชของมอญ พระเจ้าบุเรงนองของพม่า และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทย

4.พระมหามัยมุนี แห่งมัณฑะเลย์ 
• พระมหามัยมุนี แห่งมัณฑะเลย์ เป็นพระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องแบบกษัตริย์ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3 เมตร เป็นที่ยอมรับกันว่า มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่ง “มหามุนี” แปลว่า “มหาปราชญ์” หล่อขึ้นในราว พ.ศ. 688 โดยชาวยะไข่ ชนกลุ่มน้อยในรัฐอาระกัน ทางทิศตะวันตกสุดของพม่าติดกับประเทศอินเดีย ต่อมาเมื่อพระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่ายกทัพไปตีเมืองยะไข่ได้ จึงโปรดให้ชะลอพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานที่เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อ 200 ปีมาแล้ว มีตำนานเล่ากันว่า พระพุทธเจ้าทรงประทานลมหายใจให้พระมหามุนีเป็นตัวแทนสืบทอดพระศาสนา ชาวพม่าจึงเชื่อกันว่า พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์นี้มีลมหายใจจริง จึงต้องมีพิธีล้างพระพักตร์ให้ทุกเช้า ซึ่งพิธีนึ้ก็ยังคงดำรงอยู่มาตราบจนถึงปัจจุบัน
5.พระธาตุอินทร์แขวน “ไจก์ทิโย”
• พระธาตุอินทร์แขวน “ไจก์ทิโย” เมืองไจก์โถ่ รัฐมอญ เชื่อกันว่าพระอินทร์เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ เพื่อนำเอาพระธาตุมาแขวนไว้ให้ผู้มีบุญมากราบไหว้ ใครได้มาสักการะก็เท่ากับได้ไหว้พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ และจะได้สั่งสมอานิสงส์ให้ไปเกิดร่วมยุคกับพระศรีอาริยเมตตรัย และผู้ที่มีบุญก็จะสามารถมองเป็นองค์พระธาตุลอยอยู่อย่างชัดเจน พระธาตุอินทร์แขวนตั้งอยู่บนหน้าผาสูงกว่า 1,200 เมตร สร้างตั้งไว้บนก้อนหิน สูงถึง 5.5 เมตร เส้นรอบวงของก้อนหินราว 17 เมตร มองดูคล้ายก้อนหินตั้งอยู่หมิ่นเหม่ใกล้จะตกลงมาเต็มที่


ไปทำวีซ่ามาเมื่อ วันที่ ๒๔ กย นี้เองค่ะ ทำแบบวันเดียวได้ ๘๑๐ บาท เพิ่มอีก ๔๕๐ วันเดียวได้ 
ใช้เอกสารดังนี้ รุปถ่าย ๒ รูป ขนาด ๒ นิ้ว 
พาสปอร์ต ตัวจริงและสำเนา ไปยื่นพร้อมกรอกใบคำขอ ได้ที่สถานทูต พม่า อยู่สาธรเหนือ หัวมุมถนนปั้น ตรงข้าม โรงบาลเซนท์หลุยส์ ยื่นช่วง ๙ ถึงเที่ยง รับ ตอน บ่าย๓ โมง ครึ่ง ถึง ๔ โมงครึ่ง 

ปล. เวลาไปรับวีซ่าในช่วงเวลาที่กำหนด ไม่ต้องรีบนะคะ เพราะเขาจะเปิดตามเวลา ต้องยืนรอข้างนอกริมถนน กวางรอ แล้วรออีก เพราะไม่รู้จะไปไหน เดินไปเดินมาเหมือนคนบ้าเลย 55555 ถ้ายังไงก้่อพกร่มไปด้วยนะ เพราะถ้าฝนตกล่ะก้องานงอกเลยแหละ เขาไม่เปิดให้เข้าไปหรอกนะ ....แต่ในที่สุดก้อได้วีซ่ามา ที่เหลือก้อต้องไปเตรียมแผนสำหรับย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ 4 วัน ดูแล้วน่าจะเหนื่อยอ่ะ เพราะเวลาที่จำกัด และระยะทางระหว่างเมือง.............แต่ก้อนะ ขุนเขาไม่ว่าจะกว้างใหญ่หรือสูงชันแค่ไหน มันก้อยังอยู่ใต้เท้าเราแค่เราก้าวไปเหยียบมัน ..........

จองที่พักในย่างกุ้งผ่านอโกด้า ไปแล้วสำหรับ ๑ คืนในย่างกุ้ง วันที่ ๘ ธค ถีงย่างกุ้งเย็นๆ พักกับเที่ยวสัก ๑ วัน แล้วหาทางต่อไปมันฑะเลย์ ทริปนี้เวลาน้อยมาก เตรียมตัวยังไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก้ออ่ะนะ ไปซะก่อน ค่อยกลับมาแล้วหาเวลาไปใหม่ สักอาทิตย์


ประเทศพม่า หรือ เมียนมาร์ (อังกฤษ: Myanmar หรือ Burma, พม่า: ပြည်ထောင်စု มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (อังกฤษ: Republic of the Union of Myanmar; พม่า: ပြည်ထောင်စု သမ္မတ မြန်မာနိုင်ငံတော် [pjìdà̀uɴzṵ θà̀ɴməda̯ mjəmà nàiɴŋàɴdɔ̀] ปี่เด่าง์ซุ ซัมมะดะ มยะหม่า ไหน่หงั่นด่อ) เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดกับอินเดีย บังกลาเทศ จีน ลาวและไทย หนึ่งในสามของพรมแดนพม่าที่มีความยาว 1,930 กิโลเมตรเป็นแนวชายฝั่งตามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน ด้วยพื้นที่ 676,578 ตารางกิโลเมตร ประเทศพม่าเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พม่ายังเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 24 ของโลก โดยมีประชากรกว่า 60.28 ล้านคน นับแต่ได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2491 ประเทศพม่าเผชิญกับหนึ่งในสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อที่สุดท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่มากมายซึ่งยังแก้ไม่ตก ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ถึง 2554 ประเทศพม่าอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองถูกยุบอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2554 หลังการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2553 และมีการตั้งรัฐบาลพลเรือนในนามแทน แต่ทหารยังมีอิทธิพลอยู่มาก
ประเทศพม่าอุดมไปด้วยทรัพยากร แต่เศรษฐกิจพม่าเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจด้อยพัฒนาที่สุดในโลก จีดีพีของพม่าอยู่ที่ 42,953 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 2.9 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำสุดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดาและอีกหลายประเทศได้กำหนดการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อพม่า ระบบสาธารณสุขของพม่าเป็นหนึ่งในระบบสาธารณสุขที่เลวที่สุดในโลก องค์การอนามัยโลกจัดอันดับพม่าไว้อันดับที่ 190 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย
สหประชาชาติและอีกหลายองค์การได้รายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบในพม่า รวมทั้งพันธุฆาต การข่มขืนเป็นระบบ แรงงานเด็ก ความเป็นทาส การค้ามนุษย์ และการขาดเสรีภาพในการพูด ในช่วงปีหลัง พม่าและผู้นำทหารได้ผ่อนปรนต่อนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตและกำลังพัฒนาความสัมพันธ์อย่างช้า ๆ กับมหาอำนาจและสหประชาชาติ




เราออกจากดอนเมืองโดยไฟล์ท 4 โมงครึ่งบ่าย ไปถึง ย่างกุ้ง ตอน 6 โมงกว่าๆ อิอิอิอิ เจอเพื่อนใหม่นั่งแถวเดียวกัน มาคนเดียวกันทั้งหมด เราเลยได้เพื่อนแชร์ค่าแท้กซี่ไป ชเวดากองรอบกลางคืนซะเลย อิอิอิอิ อีริคสัน จาก อินโดนีเชีย และ อาลี จาก อเมริกา แต่เธอทำงานอยู่ที่ คัมโบเดีย
 กับ NGO ทุกคนน่ารักมาก ....................... มาครั้งแรก ก้อประทับใจซะแล้ว พม่า



ได้แท้กซี่ในราคา 9 us อิอิอิ หาร 3 แล้วก้อ โอ แต่ไปย่าน สุเหล่ พาโกด้า ก่อน ไปส่งอาลี แล้วเราถึงจะไปต่อชเวดากอง ย่านสุเหล่ เปรียบได้กับ แถว อนุสาวรีย์ บ้านเรา เป็นใจกลาง การขนส่ง รถเมล์ ใครจะมา จะไป ก้อสามารถมาตั้งต้นกันที่นี่ได้ แต่เราไม่ได้พักแถวนี้ เราพักแถว อินยาเลค 
ออกนอกไปอีกหน่อย จองผ่านอโกด้ามาจ้าาาาาาาาาา 


ในท่ี่สุดก้อมาถึง หลังจาก เมื่อ 5 เดือนที่แล้วตัดสินใจซื้อตั๋ว และดูแต่รูปภาพของชเวดากอง มานานแรมปี ได้แต่ฝันว่า สักวันเราคงจะได้ไปยืนอยู่หน้าพระธาตุบ้าง..................... อยากให้ทุกฝันของเราเป็นจริงอย่างนี้ทุกฝันจัง อิอิอิ


สวยจิงไรจิง



ประวัติ

ตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญ ตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น สำหรับให้พ่อค้าทั้งสองรับไว้บูชา
พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆ เรื่อยมาทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311 (ในสมัยกรุงธนบุรี)
 ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา
[แก้]รูปแบบการก่อสร้าง

บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด โดยเฉพาะชื้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด


ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมจะต้องถอดรองเท้าทุกครั้งเมื่อมาถึงทางเข้า ให้เดินตามเข็มนาฬิกา ขึ้นอยู่กับดวงวันเกิดของผู้เข้าที่จะดูตาม 12 นักษัตร รอบๆพระเจดีย์ก็มีศาลเจ้าเล็กๆอยู่รายรอบ



• ขั้นตอนการบูชาชเวดากอง
1.ไหว้พระประธานที่วิหารโถงทิศใดทิศหนึ่ง โดยสวดมนต์ภาวนา หรือจุดธูปเทียนและถวายดอกไม้ด้วยก็ได้
2.ไหว้พระประจำวันเกิด จุดธูปเทียนถวายดอกไม้
3.สรงน้ำพระเท่าจำนวนอายุ (บวกหนึ่ง) 
4.เดินประทักษิณ (วนขวา) ตั้งจิตอธิษฐาน ขอพรรอบเจดีย์หนึ่งรอบ
5.ร่วมบริจาคจตุปัจจัยเพื่อทำนุบำรุงองค์พระเจดีย์ ค้ำจุนพระศาสนา (ตามกำลังศรัทธา)
6.ตีระฆังที่ตั้งไว้รอบพระเจดีย์ (ใบใดใบหนึ่ง) ให้เทพยดาบนสรวงสวรรค์อนุโมทนารับส่วนบุญ (สาธุ)

• ขอแนะนำในการเข้าชมมหาเจดีย์ชเวดากอง
1.ห้ามผู้ชายและผู้หญิงนุ่งกางเกงขาสั้น
2.ห้ามสวมถุงน่อง รองเท้าทุกชนิด (เพื่อเป็นการเคารพสถานที่)
3.นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องชำระค่าเข้าชมคนละ 5 ดอลล่าร์ แล้วต้องติดสติกเกอร์สีประจำวันไว้ที่หน้าอกเพื่อแสดงไว้ว่าได้ชำระค่าเข้าชมแล้ว
4.การเที่ยวชมมหาเจดีย์ชเวดากอง ให้เดินวนทางขวา
สามารถเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่ 04.00 น. – 21.00 น.ทุกวัน



มองตรงไหน ก้องามไปหมด 



ไกด์พาไปรดน้ำพระประจำปีเกิด อิอิอิอิ ใช้ไกด์ถ่ายรูปซะเลย



ใช้เวลาที่นี่เนิ่นนาน ให้สาสมกับความอยาก ที่เก็บกดมาแรมปี กลางคืนที่นี่เย็นสบาย 
ผู้คนมากันเยอะ ทุกอย่างลงตัว เป๊ะ 





ยอดปลายสุดของเจดีย์ ชเวดากอง จะมีเพชรสีชมพูอยู่บนยอด 
แต่ที่นี่จะมีกล้องขยายให้ส่องดูได้ เป็นบุญตา



มองไปทางไหนก้อชื่นใจนะ สีทองอร่ามตา ชาวพม่าเองก้อมากันเยอะแยะ 
มานั่งสวดมนต์เป็นวิถีปกติ บางคนมาทุกวัน แบบ เคร่งไรงี้ 


ขอประชันความงามกะสาวพม่าซะหน่อย ดูสิ นั่งกันตัวลีบเลย เอ๊ะหรือว่าเราตัวใหญ่ก้อไม่รุ อิอิอิอิอิ



ใช้เวลาที่นี่เดินไปดูรอบๆ อย่างสบายๆๆ อากาศกะลังดี ไม่ร้อนไป ไม่หนาวไปเดินจนเมื่ิอย 
ก้อหาที่นั่งเล่นกันไปขำ ขำ ดูพม่ามั่ง ไทยมั่ง ฝรังมั่ง อิอิอิอิ สนุกดี 




หลังจากใช้เวลากันไปเนิ่นนาน เต็มอิ่่ม  เราก้อกลับที่พัก โดยเดินออกมาขึ้นรถขข้างหน้า แท้กซี่จอดรออยู่แล้ว ได้ราคา 10 ยูเอส กลับเข้าเมือง แต่เรามีเพื่อนชาวอินโดนีเชีย ช่วยกันแชร์ค่าใช้จ่าย อีริคสันส่งเราที่โรงแรม เขาจะไม่ยอมรับเงินค่ารถจากรถ แต่เราต้องขอร้องไว้ว่า รับไปเถอะ เพราะเราขี้เกียจตามใช้หนี้ชาติหน้า อีริคสันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมรับเงินนั้นไป ...........
 และนั่นก้อเป็นมิตรภาพจากชายแปลกหน้า แต่หน้าไม่แปลก ................ เออ ว้อยย คนดีๆ ***
ก้อยังมีอยู่จริง ขอบใจนะ อีริคสัน ยูทำให้ไอ ดีใจจริงๆ 



แล้วเราก้อเข้าเช็คอิน ห้องพัก ที่จองล่วงหน้ามาจากอโกด้า ในราคา 1200++ แพงไปสำหรับคนเดียว แต่ก้ออะนะ บางครั้งมันก้อไม่มีทางเลือกมากนัก แต่อาหารเช้า ก้อโอ เว่อร์เลยนะ บุฟเฟต์ มีข้าวผัด ผลไม้ เบเกอรี่ เค้กชิ้นกะลังพอดี อร่อยๆ อิอิอิ แต่ก้อกินได้ไม่เยอะหรอก ห้องพักมีอ่างอาบน้ำ 
มี แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ให้ด้วย มีไวไฟในห้องพัก แรงพอใช้ได้ โดยรวมแฮปปี้ดี แล้วเดินออกซอยไปนิดนึง ก้อจะเจอ อินยาเลค เป็น สวนสาธารณะและทะเลสาป ของย่างกุ้ง ไว้ให้ผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจกัน ที่ย่างกุ้ง เขาจะทำ สวนพวกนี้หลายที่เลย 2-3 ที่มั้ง ในบางที่มีสวนสัตว์ด้วย 
แต่เราไม่ได้ไปดูหรอก ดูเขาดินบ้านเราก้อได้ เหมื้อนนน กัน



เงินเราแลกมาจากดอนเมือง 200 ดอลล ใช้แค่นี้แหละ เพราะตั๋วเครื่องบินก้อจ่ายบัตรไปแล้ว 
ห้องพัก 1 คืนที่ย่างกุ้งก้อจ่ายบัตรไปแล้วว ดูสิ ทริปพม่าทีนี้เราจะใช้เงินไปเท่าไร 
แต่จะไม่ให้เกิน ที่แลกมาแน่นอน 55555555555 นับเงินแล้ว คำนวณแล้ว ก้อไปอาบน้ำนอนดีกว่า 
จะได้มาแชทในแทปเลต ไต้หวัน อิอิอิ มาเที่ยวไม่พกหรอก แอปเปิ้ล แพงไม่ว่า 
แต่หายละ เสียดาย โครตตตตตตตตตตตต เลย อิอิอิ


พักผ่อนชิวๆ 1 คืน ตื่นมากินอาหารเช้า แบบ บุฟเฟ่ต์ที่โรงแรม แล้วก้อให้ทางโรงแรมจองตั๋วรถ
ไปมันดะเลให้ เพราะวันนี้เราจะเก็บที่ย่างกุ้ง แล้วจะไปมันดะเล ในรถกลางคืนเพื่อไปถึงที่โน่นเช้า 
แล้วเรียกแท้กซี่ที่เราตกลงราคาไว้ ครึ่งวัน 30 ยูเอส ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ 
ให้แท้กซี่มารับบ่ายสอง เพราะกว่ารถไปมันดะเลจะออกก้อตอน 2 ทุ่มครึ่ง จ้าาาาาาา



ระหว่างทางที่จะไป ก้อเก็บภาพตึกรามบ้านช่อง ที่นี่ได้รับอิทธิพลจากอังกฤษ มาพอสมควร
 เพราะได้เคยตกเป็นอาณานิคมมาก่อน จึงมีสถาปัตยกรรมให้ได้ชมกันบ้าง 



ที่แรกที่เราไปถึง วัดเจดีย์โบตาทาวน์ วันนี้จะมาดูพระเกษาธาตุ และ พระเจ้าทันใจ อิอิอิอิ
มาแอบขอพร แต่บอกไม่ได้หรอก เป็นความลับ ที่นี่เสียค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ 5 ยูเอส 
รองเท้าเราถอดทิ้งไว้ในแท้กซี่เลย เพราะการเข้าวัดทุกวัดที่พม่า ต้องถอดรองเท้าทุกที่ค่าาา 
หาย่ามกะถุงพลาสติกใส่ไปด้วย นะ จะได้พกติดตัวไปเลย ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา


เดินเข้าไปข้างใน เป็นสีทองหมดเลย อร่ามตา มีพระพุทธรูปโบราณมากมาย แบบศิลปะพม่า


พระเกษาธาตุ



เทพทันใจ เอ้าไปขอพรกันหน่อย
เห็นป่ะ ใครบอกเที่ยวคนเดียวไม่สนุก มันอยู่ที่เราจะจัดการชีวิตยังไงตะหาก อิอิอิอิ 
• เทพทันใจ (นัตโบโบยี) เทพผู้ปกปักรักษาและบันดาลโชค
• วิธีการสักการะรูปปั้นเทพทันใจ (นัตโบโบยี) เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมตามความปราถนาก็ ให้เอาดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆมาสักการะ นัตโบโบยี จะชอบมาก จากนั้นก็ให้เอาเงินจะเป็นดอลล่า บาท หรือจ๊าด ก็ได้ (แต่แนะนำให้เอาเงินบาทดีกว่าเพราะเราเป็นคนไทย) แล้วเอาไปใส่มือของนัตโบโบยีสัก 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึกกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของนัตโบโบยี แค่นี้ท่านก็จะสมตามความปราถนาที่ขอไว้

ภายในบริเวณวัด รอบๆ มีเจดีย์และพระพุทธรูปให้เราไปรดน้ำขอพรได้ 
เกิดมาชาตหน้าจะได้ สวยๆ จิตใจดี แบบนี้ไงล่า 


• เจดีย์โบดาทาวน์
• เจดีย์โบดาทาวน์ แปลว่า เจดีย์นายทหาร 1000นาย ตามตำนานเล่าขานว่า เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้น มาบรรจุไว้ ก่อนนำไปบรรจุในมหาเจดีย์เวดากองและเจดีย์สำคัญอื่นๆ เจดีย์โบดาทาวน์จึงเป็นหนึ่งในมหาบูชาสถานของชาวมอญและพม่าเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดถล่มย่างกุ้ง ทำให้เจดีย์โบดาทาวน์องค์เดิมถูกทำลายพินาศ แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอบทรงสถูปบรรจุพระเกศธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ
• ครั้นเมื่อเจดีย์โบดาทาวน์องค์ใหม่ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2496 จึงนำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด
• นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่นาชมในอาณาบริเวณเจดีย์โบดาทาวน์คือ พระพุทธรูปทองคำ ประดิษฐานในวิหารด้านขวา ซึ่งเป็นพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก ตามประวัติว่าเคยประดิษฐานอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ ครั้นเมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษในปี พ.ศ. 2428 ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์กัลกัตตาในอินเดีย ทำให้รอดพ้นจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถล่มวังมัณฑะเลย์ ต่อมาในปี 2488 พระพุทธรูปองค์นี้ถูกจัดไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียและแอลเบิร์ต นอกจากพระพุทธรูปทองคำแล้ว ยังมี พระเขี้ยวแก้ว ซึ่งเก็บรักษาไว้ในตู้กระจก อยู่ใกล้ๆกับวิหารพระทองคำ และด้านซ้ายมื้อจะมีรูปปั้น นัตโบโบยี หรือ เทพทันใจ ซึ่งชาวมอญและพม่านิยมมากราบไหว้บูชา ด้วยเชื่อว่าอธิษฐานขอสิ่งใดแล้วจะสมปรารถนาทันใจ




สำรวจจนทั่ว อิอิอิ คนขับแท้กซี่ จำต้องมาเป็นไกด์จำเป็นให้เรา เป็นตากล้องส่วนตัว 
และแน่นอน มันต้องขอติ้ป เราเพิ่มแน่ อิอิอิอิ แต่ก้อนะ ค่าบริการ ยังเทียบไม่ได้กับเซอร์วิสมายด์
 ที่มิอาจตีราคาเป็นเงินได้ ภายนอกบริเวณวัด มีแม่น้ำสายใหญ่ ไปดูซะหน่อย 
แต่กลางวันที่ย่างกุ้ง ก้อร้อนเหมือนกันนะ แหะ แหะ 



ขับเรื่อยมาจากที่นี่ เราจะไปต่อ ที่วัดพระนอนตาหวาน ไปดูกันเถอะ ว่าจะหวานสมคำร่ำลือหรือเปล่า 

ถึงแล้ววว เย้ เย้ วัดพระนอนตาหวาน



• พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวาน 
• พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวาน เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่
 มีความยาวกว่า 70 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดของประเทศพม่า 
ทั้งพระพักตร์และขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้ว สั่งผลิตมาจากต่างประเทศ 
โดยเฉพาะรวมไปถึงพระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริงและเมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระนอนองค์นี้ ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วยลายลักษณธรรมจักร
ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ
 ด้านหน้าวัดก็จะมีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย






คนขายดอกไม้่ อิอิอิ ต่อรองราคากันหน่อย จ่ายดออล่า แต่คืนเป็นเงินจ้าดดด ให้มันรู้ไป 
ว่าเรื่องการต่อรอง สาวไทยก้อไม่แพ้ชาติใดในโลก 55555555555



ไหว้พระนอน รดน้ำพระ ขอพร ถวายดอกไม้สวยๆ ก้อเดินรอบๆ บริเวณ 
แต่จะว่าไป ในวัดนี้ หนุ่มสาวก้อนิยมมานั่งจู๋จี๋เหมือกนกันนะ อิอิ



ออกจาก วัดพระนอน เกาทัตยีแล้วว ไปต่อที่สถานที่สุดพิเศษ ที่เรารีเควส คนขับรถว่า 
ต้องไปให้ได้ และก้อดีที่เป็นทางผ่าานที่ที่เราจะไปต่อพอดี 
บ้านท่านผู้นำหญิง ออง ซาน ซู จี วีรสตรี ในหัวใจเราตลอดกาล
ปล รูปข้างบนนั่น คือ ท่านนายพล อู ออง ซาน ท่านบิดาของท่านผู้นำหญิง 


ขอแค่เห็นหลังคาบ้านก้อยังดี เขาไม่ให้เข้าไป แต่แค่ได้ไปหน้าบ้านท่านผู้นำหญิง เราก้อแฮปปี้สุดๆ แล้ว ขอแค่ชีวิตนี้ ได้ความเด็ดเดี่ยวมั่นคง และความเสียสละเพื่อต่อสู้ด้วยอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ 
ได้แค่เสี้ยวกระผีกของท่านก้อยังดี ....................


ไปต่อกันที่ เจดีย์โกบาเอ้ เป็นที่สุดท้ายของวันนี้ที่ย่างกุ้ง 


เจดีย์กะบาเอ
• เจดีย์กะบาเอ เจดีย์ทรงกลมมีความสูงและมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางวัดได้เท่ากัน คือ 34 เมตร 
พระประทานภายในหล่อด้วยเงินบริสุทธิ์น้ำหนักกว่า 500 กิโลกรัม สร้างโดยนายอูนุนายกรัฐมนตรี
คนแรกของพม่า เพื่อใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2497 – พ.ศ.2499 และเพื่อให้บังเกิดสันติสุขแก่โลก ล่าสุดใช้เป็นสถานที่ใช้ในการประชุมสงฆ์โลกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่ผ่านมา ที่สำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า 
พระธาตุของพระโมคลานะและพระสารีบุตร







สุขใดไหนจะเท่า กับทริปพม่า หุหุหุ


มีร้านค้าขายดอกไม้บูชา และก้ออื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่คิดจะซื้อไรหรอก อิอิอิ 
ทริปประหยัด ไม่เน้นกิน ไม่เน้นของฝาก ขี้กเกียจแบบกด้วยย 
อำลาที่นี่ด้วยรอยยิ้ม ได้เวลาไปที่สถานีขนส่งย่างกุ้ง ออกไปนอกเมือง บอกได้คำเดียวว่าไกลโครต ...............................



ไปถึงท่ารถก้อค่ำพอดี ฝุ่นเยอะ คนแยะ ม๊วกกกกกกกก อิอิอิ เราจองตั๋วรถเที่ยว 2 ทุ่ม ครึ่ง ในราคา 18000 จ๊าดด แพงหน่อย แต่คุ้มมากๆ เพราะเป็นรถ วีไอพีเลย ของบริษัท อีลิท ถ้าใครไม่คิดมาก แนะนำให้จองเที่ยวนี้ ของบริษัทนี้ เพราะการเดินทาง1 คืนไปจนถึงมันดะเล อาจไม่ใช่เรื่องสนุกนักหากจะต้องโงกเงกไปจนตลอดทาง แต่รถเที่ยวนี้ของเรา ทำให้เราประทับใจมาก หลับสบาย
 ไม่เมื่อยเลย ไปถึงมันดะเล ด้วยอาการที่ไม่เพลียแม้แต่น้อย เจ๋งอ่าาาาาาาาาาาาาาาาาา





ต่อตอนที่ 2  จากย่างกุ้ง สู่มันฑะเลย์